บทสัมภาษณ์  พล.. เกษม นภาสวัสดิ์  ประธานมูลนิธิเพื่อฝึกพลังจักรวาล 

เรื่อง ความทรงจำเกี่ยวกับพลังจักรวาล

สำนักงานมูลนิธิเพื่อฝึกพลังจักรวาล   

เมื่อวันเสาร์ที่ 12 สิงหาคม 2565

วันครบรอบ 15 ปี การเสียชีวิตของ อาจารย์ใหญ่ .ดร. เซอร์ เลือง มินห์ ด๋าง

สัมภาษณ์โดย . จรูญ แซ่เล

 

           อ.จรูญ วันนี้เป็นวันที่ 12 สิงหาคม 2565    เมื่อ 15 ปีก่อน   ท่านอาจารย์ใหญ่  ได้จากพวกเราไป  ที่นั่งอยู่ในที่นี้ก็คือ ท่าน พล.. เกษม และ พี่อ้น (พล..หญิง นุชเนตร นภาสวัสดิ์) ซึ่งก็เป็นผู้ที่เรียกว่า บุกเบิก เผยแพร่ วิชาพลังจักรวาล  ขอเชิญท่าน พล.. เกษม ครับ

พล.. เกษม เริ่มต้นตั้งแต่ที่มาก่อน ตั้งแต่ปี 2535 ปีนั้นผมเพิ่งจะได้เรียน แต่ก่อนหน้านั้น ก่อนที่ผมจะสนใจ และมาเผยแพร่วิชานี้ ประมาณต้นปี 2535  ผมพานักเรียนนายร้อยไปอุปสมบทภาคฤดูร้อน ช่วงปิดภาคการศึกษา ที่วัดญาณสังวราราม จังหวัดชลบุรี ก็มีรุ่นพี่คนหนึ่ง ขอเอ่ยนามนะครับ พี่มนู นิลผาย  พี่เขาบอกว่า เฮ้ย! เษม มันมีวิชา วิชาหนึ่ง ตอนนี้มาสอนในเมืองไทย  เป็นวิชาเกี่ยวกับเรื่องใช้พลังจิตรักษาโรค  แล้วก็ไม่ต้องใช้ยา หรืออุปกรณ์อะไรเลย ถ้าจะไปรักษาใครเนี่ยไม่มีการเก็บเงิน   คือรักษาให้ฟรี  มันก็ตรงใจผมทันที  เพราะตอนเล็กๆ ผมไปกับแม่  ไปหาหมอ ผมเห็นยายคนหนึ่ง และใครต่อใคร พอรักษาเสร็จก็ต้องคลี่ชายพกที่ผ้าถุง หยิบเศษสตางค์ ทีละเหรียญๆ ให้หมอ เป็นค่ารักษา ตอนนั้นผมยังเด็กๆ ผมนึกถ้าผมเป็นหมออย่างเมื่อกี้นะ  ผมจะไม่เอาสตางค์  เพราะสงสารคนจน   พอโตขึ้นมาก็อยากจะเป็นหมอจริงๆ แต่เป็นไม่ได้เพราะครอบครัวก็ไม่มีเงินพอที่จะไปเรียน ผมก็เลยหันเห มาเป็นทหาร ในที่สุดก็เรียกว่าประสบความสำเร็จก็ได้  ได้เป็น พลเอก

 

ทีนี้พอมาได้ฟังพี่เขาพูดอย่างนี้  มันก็ตรงกับที่เคยมีความรู้สึกดั้งเดิมมาตั้งแต่เด็ก  เออ...ดีสิ

วิชาที่รักษาโรคก็คล้ายหมอนั่นแหละ แล้วก็ไม่ต้องเก็บสตางค์ใคร ตรงใจเลย  ผมก็บอกว่าต้องเรียนให้ได้วิชานี้  ก็ถามรายละเอียด คุยกันมาตลอดทางว่าเป็นยังไง เรียนที่ไหน อย่างไร  ได้ความว่ามีอาจารย์คนหนึ่งเป็นลูกศิษย์ของอาจารย์ใหญ่  มาสอนที่วัดเขมาภิรตาราม  ผมก็ตั้งใจที่จะมาเรียน  แต่บังเอิญติดงานจำเป็น    เขาเปิดมาแล้ว 3 รุ่น ที่วัดเขมาฯ ผมก็เลยบอกอ้นว่าให้ช่วยไปเรียนก่อน เป็นรุ่นที่ 4 ว่าเป็นยังไง ผมจะไปเรียนเป็นรุ่นที่ 5 ก็บังเอิญต้องพากลุ่มนักศึกษาวิชาทหารไปต่างประเทศ ก็ไม่ได้เรียนอีก ตกลงข้ามรุ่น 5 ไป จนกระทั่งมาถึง รุ่น 6 ถึงได้เรียนที่วัดเขมาภิรตาราม ตอนกลางปี 2535 ตอนนั้นอายุ 54 ปี

        

 

              ย้อนกลับไปว่าที่ไปเรียนเนี่ยพอเรียนจบรุ่น 6 เขาก็ให้เป็นหัวหน้า มีคนเรียนประมาณ 120 คน ผมก็ถามคนที่ไปเรียนเหมือนกับผม เรียนไป 5 รุ่นเนี่ยไปไหน ทำอะไรกันบ้าง เขาก็บอกว่า ก็ไม่มีใครเอาไปทำอะไร ผมก็เลยมีความคิดว่า วิชาดีๆ อย่างนี้เราน่าจะส่งเสริม หรือรักษาเอาไว้ให้เป็นประโยชน์ ผมก็บอกงั้นเดี๋ยวจะไปซื้อม้านั่งหินอ่อนยาวๆ 3 ตัว ตัวละ 250 วางที่วัดเขมาฯ แล้วก็รักษาคน   เริ่มวันแรก ก็มีคนมารับการรักษาเพียงแค่ 5 คน  แต่พอ 5 คนนี้รักษาแล้วได้ผล  ก็บอกต่อๆ กันไป   หลังจากนั้นก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ 10 คน 20 คน ถึง 100 ก็มี  บางทีเช่ารถบัสใหญ่มาเลย  มาที่วัดเนี่ยมากมาย  การสอนก็มี รุ่น 7 ต่อๆ ไปเรื่อย  ตอนนั้นผมยังไม่ได้สอนครับ  เป็นผู้ช่วย  ก็คือสรุปง่ายๆ  เป็นการเริ่มต้นจุดประกายการรักษาโรค ผมบอกว่ารักษาแล้วก็อย่าทิ้งขว้างไป ขอให้ทำไปเรื่อยๆ   ผมทำสมุดจดไว้หมดว่า  คนนี้ชื่ออะไร  อายุเท่าไร  ป่วยเป็นอะไร   รักษาแล้วครั้งต่อไปเป็นยังไงบ้าง      จดไว้ได้มากเป็นเล่มๆ นับสิบๆ เล่ม  บอกรายละเอียดไว้หมด   มีตารางแบ่งเป็นช่องๆ  ให้ลงรายละเอียดเลย  ชื่อ ที่อยู่ เบอร์โทรศัพท์  อาการที่เป็น   ทำควบคู่อยู่ที่ลานวัดเขมาภิรตาราม  ใต้ต้นพิกุล   ส่วนอาจารย์ก็สอนรุ่นแล้วรุ่นเล่า  ทุกครั้งผมก็มาช่วย    ในที่สุดเขาก็เห็นแวว  ซึ่งการได้ไปช่วยนี้ทำให้ 1) ได้ฟังซ้ำๆ และ 2) สนิทสนม ใกล้ชิดกับอาจารย์ที่สอน คือ อาจารย์ ทิวา ที่ชื่อทิวา เพราะเป็นชาวเวียดนาม  ชื่อ ทิเฮือง   และแต่งงานกับชาวเยอรมันที่ชื่อว่ามิสเตอร์อะไรไม่รู้   แต่นามสกุล  ดูมเมอร์ ท่านก็เลยชื่อว่า ทิเฮือง ดูมเมอร์   พวกเราเห็นว่าชื่อนี้ มันไม่เป็นไทย   เปลี่ยนเป็น ทิวา ดีไหม  คนก็เห็นด้วย งั้นก็เปลี่ยนเป็น ทิวา  แล้วก็วิชาที่สอนนั้นไม่ได้ชื่อนี้  ชื่อเรียกกันง่ายๆ ชื่อว่าวิชา UE คือ Universal Energy แม้กระทั่งอาจารย์ใหญ่ก็ยังเรียกวิชา UE   ผมก็บอกว่าถ้าเรียกอย่างนี้มันไม่เป็นไทย  ทำไมเราไม่เปลี่ยนคำว่า UE ซึ่งตัว U (Universal)  ถ้าแปลเป็นไทยๆ  ก็แปลว่าจักรวาล ส่วน E (Energy) ก็พลัง           รวมแล้วเป็น  พลังจักรวาล จึงได้เกิดขึ้น  แม้กระทั่งมูลนิธิที่ตั้งนี้จึงใช้ชื่อนี้  คือ มูลนิธิเพื่อฝึกพลังจักรวาล

 

ทีนี้จะเล่าถึงพื้นฐานก่อนพื้นฐานที่ว่าเนี่ยคือคนก็เรียนไปรักษาไปก็ได้ผลรักษาไปมากมายเพิ่มขึ้นๆมีที่ฮิตมากคือเรื่องเกี่ยวกับพลังแฝง

 

สรุปแล้วก็คือว่าผมได้ช่วยอาจารย์ทิวาสอนไปหลายรุ่นเฉลี่ยแล้วเดือนหนี่งประมาณ 2 รุ่น 15 วัน เปิดที แต่ละรุ่นก็ใช้วิธีการให้เป็นหน้าม้านำ ช่วยกันบริจาค  ไม่ได้เก็บค่าสอน  ทุกคนก็ช่วยบริจาคแล้วแต่ใครมีมากมีน้อย  ลงขันกันไป  แล้วมอบให้อาจารย์ทิวา  ส่วนใหญ่ไม่ได้หักค่าใช้จ่ายใดๆ เอาไว้บางส่วนถวายวัดบ้าง ส่วนอาจารย์ทิวาก็บอกว่า ฉันนี่ขนมปังก้อนเดียวก็อิ่มแล้ว ที่เหลือก็เอาไปทำบุญ ไม่ได้เอาไปใช้ส่วนตัว   ทุกๆ รุ่น  ผมจะพูดอย่างนี้  ก่อนจะมีสอนผมก็จะกล่าวนำว่า  ที่มาเรียนวิชานี้เนี่ย  ไม่มีการคิดค่าสอน  ถือว่าช่วยกัน   อาจารย์มาสอนต้องเดินทางไปนู่นไปนี่  คิดว่าเป็นการช่วยเหลือ แล้วแต่ใครมีมากให้มากใครมีน้อยให้น้อย อะไรอย่างนี้  ซึ่งกลายเป็นว่าตั้งแต่รุ่น 7 รุ่น 8 ผมก็เป็นกึ่งๆ พิธีกร ทำอะไรอย่างนี้เรื่อยมาทุกรุ่น ได้แบ่งบางส่วนไว้เป็นกองกลางบ้าง ก่อนที่เราจะมาตั้งเป็นมูลนิธินี้  โดยจะรวบรวมเงินอันนี้จากผู้บริจาคส่วนหนึ่งก็เอาไว้ (ตอนแรกๆ ก็ให้ อ.ทิวา หมด)  พี่ๆ ก็บอกว่าควรจะเอาไว้ส่วนหนึ่งเพราะต้องบริหารต่อไป  มันมีค่าใช้จ่ายจะเอาเงินที่ไหน   นั่นก็คือที่มาของเงินที่ได้  ซึ่งบางคนที่ให้มาก ก็แล้วแต่ 500, 200 บางคนก็เป็นพัน ก็มีคนเสนอว่า เราวางกฎเกณฑ์ตายตัวเลยดีไหม  ผมก็บอกว่าอย่าเลยมันกลายเป็นธุรกิจ  แล้วแต่ใครบริจาคก็แล้วกัน ผมมีความเห็นอย่างนั้น    สอนไปหลายรุ่น   เดือนหนึ่งบางที 2 ถึง 3 รุ่น   แต่ละรุ่นมี 120 คน   เรียนที่ศาลาการเปรียญ  เมื่อยก็นั่งพิงต้นเสาบ้าง อะไรบ้าง   ซึ่งทางวัดก็อนุญาตให้   ทำให้มีนักเรียนถึงระดับ 2 มากขึ้นๆ ที่เรียนตอนนั้นแต่ละรุ่น ใช้เวลา 6 วัน ติดต่อกัน

       
             สามวันแรกเรียนเรื่องจักระเรียกว่าระดับที่ 1 วันที่หนึ่งมีการเปิดจักระ 7,6 วันที่สอง เปิดจักระ 5,4 วันที่สาม เปิดจักระ 3,2 เท่ากับวันแรกเนี่ย เปิดจักระ 30% และอีก 3 วันหลังก็เปิดอีก 7,6  5,4  3,2 ได้อีก 30% กลายเป็น 60% ก็อยู่แค่นี้   โดยมีข้อแม้ว่าทำอะไรได้บ้าง แต่ทำอะไรได้ไม่ครบ ถ้าจะทำได้ครบต้องเปิดให้ได้ 100% แต่อาจารย์ทิวา เป็นคนเปิดได้เพียง 60%   เริ่มต้นมีความรู้จากอาจารย์แค่นี้

คงมีสอนไปรุ่นแล้วรุ่นเล่าและก็รักษาไปเรื่อยๆ  คนก็เริ่มมาก   คนก็พูดต่อๆ กันไป   มีคนมาขอถ่าย  VDO ออกรายการตามไปดูบ้าง หลายต่อหลายช่อง  มาตั้งกล้องกัน  พิธีกรถามว่า พลังจักรวาล หน้าตาเป็นยังไง จะถ่ายไปได้ยังไง  ขออะไรที่มันเป็นรูปธรรมหน่อยได้ไหม?  ผมก็เห็นคนคนหนึ่งเดินผ่านมา  ตอนนั้นก็แก่กล้าพอสมควร  เลยพบว่า   เอ๊ะ! คนนี้มีพลังแฝง    เอางี้ เดี๋ยวจะแสดงให้ดูแล้วกัน และถ่าย 

แต่ห้ามไปแตะนะ ผมใช้พลังเพ่งเอาพลังแฝงออกมาให้ดู ก็ออกฤทธิ์ออกเดชสารพัดเลย คุณศัณนีย์ ที่เป็นพิธีกร พี่น้องเขาเป็นหมอทุกคน ตัวเขาคนเดียวที่มาเป็นพิธีกร ก็เอามือเข้าไปแตะ ปั๊บ!  ได้เรื่องเลย  พลังแฝงก็ติดเข้ามา ที่ผมบอกว่าห้ามแล้ว  เอาละ ทีนี้ผมก็ทำให้ดูว่าทำยังไงถึงจะออก  รักษายังไงถึงจะออก  แสดงให้ดู  เขาก็ถ่ายทุกขั้นตอน  นอกนั้นก็มีถ่ายเรื่องลดความดัน  เขาเตรียมคนมาเลย  แต่งเนื้อแต่งตัวเตรียมมาเข้ากล้อง เป็นโรคความดันจริงๆ พอวัดดูมันก็สูงมาก ผมก็รักษาใช้เวลา 5 นาทีเต็มเลย จักระ 7,4  นี่แหละ วัดอีกที  เหลือค่าความดันเป็นปกติ   ก็จากรายการต่างๆ นี่แหละ  พอออกรายการหนึ่ง รายการต่อไปก็มาขอทำๆ จึงเริ่มดังออกไป  นั้นคือการเริ่มต้นจากที่วัดเขมาฯ

จากนั้นก็เริ่มมีปฏิกิริยาจากคนกันเองอยากจะดังหรืออะไรก็ไม่ทราบคนนี้อยากจะตั้งศูนย์ตรงนั้นคนนั้นจับจองตรงนี้  ข้าวของต่างๆ ขายกันเยอะแยะเต็มไปหมด คนก็มากันมืดฟ้ามัวดิน พอรักษาพลังแฝงที  กรี๊ดกันทั้งวัดเลย   พระตกใจ  พระครูเจ้าอาวาสก็เรียนด้วย ชื่อพระครูวิจิตร

 

ก็เลยมานั่งคิดว่าท่าจะไม่ดีแล้วหล่ะอย่างนี้ก็รบกวนวัดด้วยต้องหาที่สักที่หนึ่งผมก็เดินมาเรื่อยๆ  ปรากฏว่ามีคนเขาบอกว่าจะขาย 2 ห้อง  เป็นคอนโด   ก็มาดู  ตอนนั้นเป็นป่าหมดเลยรอบๆ บริเวณ  ที่เรานั่งอยู่เนี่ย เดินขึ้นไปดูต้องขึ้นไปบนชั้น 2  ถ้ามีคนมาติดต่อจะทำยังไง  นึกในใจไม่เอาละ  เดินกลับ  ก็มาเห็นกระต๊อบเล็กๆ อยู่หลังหนึ่ง เลยแวะถาม ได้ความว่า เขากำลังจัดทำเป็นสำนักงานขายบ้านจัดสรรในหมู่บ้าน   ดูในแผนที่ก็ถามเขาว่าแล้วตรงนี้คืออะไร   ได้คำตอบว่าทำออฟฟิศ    ผมก็บอกว่า  ผมจะมาหาที่ทำมูลนิธิ จะหาที่ตั้งเป็นสำนักงาน เปิดเป็นการกุศล  ในตอนนั้นคือตั้งมูลนิธิฯ แล้วนะ นี่เล่าข้ามมานิดหนึ่ง  พอมาถึงตอนที่ได้สถานนี้  ผมก็ขอซื้อจัดตั้งเป็นสำนักงานมูลนิธิฯ เขาก็ถามมูลนิธิทำอะไร  ผมก็เล่าย่อๆ ว่า รักษาโรคให้ฟรี   เขาก็บอกมันมี 3 ห้อง ห้องละเท่าไหร่  มี 2 ห้อง  ห้องละ 8 ล้าน  ห้องตรงกลาง 7 ล้าน    ผมก็บอก  ทำไมแพงขนาดนั้น   และที่ดินที่เหลือเขาคิดวาละเจ็ดหมื่นห้า นั่นคือราคาที่บอก  ผมบอกว่าจะขอทำสักห้องเดียวได้ไหม  สู้ราคาไม่ไหว ก็ตกลงกันทางวาจา    ผมก็ไปคุยกับภรรยา  เขาบอกถ้าห้องเดียวแล้วจะมาขอซื้อเพิ่มมันจะยาก เอาครบ 3 ห้องไปเลย  แล้วเราไม่มีเงินสดทำไงล่ะ  ถ้าไม่มีเงินก็ขายไป ทำนองนั้น  เป็นอันสรุปว่าตัดสินใจกัดฟันซื้อ ต่อรองราคากันมาเรียบร้อย เหลือจากราคาที่บอก เอาละตอนนั้นคือเรื่องหาสถานที่
         
                 สาเหตุที่หาที่ตั้งที่นี่  ก็เพราะว่ามันเป็นการรบกวนมากที่วัด ผมก็เลยต้องเสาะแสวงหาไปหลายที่ ที่นู่นที่นี่หลายแห่ง แต่ก็อย่างที่ว่า ตรงนี้ดีกว่า ในที่สุดก็ได้ตรงนี้  ก็ได้มาสร้าง พูดเลยนิดไปก็ได้ว่า เริ่มสร้างประมาณปลายปี 2539  ถึงเดือนเมษายน 2540  เสร็จไปได้ 2 ชั้น  ก็ตัดสินใจย้ายจากที่วัดเขมาฯ  มาสอนที่นี่  หลังจากที่อาจารย์ทิวาไม่ได้สอนมานานแล้ว ผมสอนเอง สอนมาหลายๆ รุ่น ตอนนั้นผมเรียนถึงระดับ 5 จากอาจารย์ใหญ่ที่ต่างประเทศ    อาจารย์ทิวาก็เริ่มไปสอนต่างจังหวัด  ไม่ได้สอนแล้วที่วัดเขมาฯ     เลยเป็นหน้าที่ผมทำการสอนเอง

 

เอาละทีนี้ย้อนกลับมา  การที่เราอยู่ที่วัด  ก็ได้รวบรวมหลักฐานไว้ ที่ว่าเป็นเล่มๆ ได้หลายสิบเล่ม  ผมก็เก็บมา

  

       

    ตอนไปจดทะเบียนมูลนิธิฯเขาก็ถามว่าจะจดชื่ออะไรผมก็บอกว่าชื่อพลังจักรวาลเขาบอกฟังดูแล้วมันคืออะไรล่ะพลังจักรวาล  ผมก็ไปอธิบายให้เขาฟัง เขาก็บอกว่ามันไม่ได้มันต้องชัดเจนลงไป เช่น มูลนิธิช้างเพื่อการอนุรักษ์ช้าง  มูลนิธิเพื่อนั่นเพื่อนี่  ก็เลยปรึกษากัน   ตกลงให้มีคำว่า เพื่อฝึก ไปเลย   เป็น

มูลนิธิเพื่อฝึกพลังจักรวาล  ทุกคนก็ลงความเห็นอย่างนั้น  ผมก็กลับไปใหม่  และตั้งได้สำเร็จ ตั้งแต่เมื่อต้นปี พ.. 2538   เพราะฉะนั้นก่อนที่จะมาที่นี่  คือมีมูลนิธิแล้ว ชื่อมูลนิธิเพื่อฝึกพลังจักรวาล

 

กว่าจะตั้งได้สำเร็จเนี่ยมันสาหัสสากรรจ์เหลือเกินเพราะจะต้องมีหลักฐานต้องไปชี้แจงเขาสารพัด  ผมก็หอบไปเป็นสิบๆ เล่ม  ไปให้เขาดูว่า  ทำได้จริงอย่างนี้    มันมีหลักฐาน  ไม่ใช่โมเมขึ้นมา

พอมีหลักฐาน   เอาละสิ ถึงขั้นตอนอีกขั้นตอนหนึ่ง   จะตั้งมูลนิธิได้ต้องมีเงินสำรอง 5 แสนเป็นอย่างต่ำ   ตายละสิ  ห้าแสนจะไปเอาที่ไหน   5 แสน... เงินตอนนั้นน่ะ  จริงๆ เก็บได้มาเนี่ยยังไม่ถึงแสน  โดยรวบรวมมาจากการสอนบ้าง ได้รับบริจาคบ้าง  รวบรวมไว้มันได้แค่นั้นเอง  ไม่ถึงแสน ผมก็บอกว่ามันหนัก  ตอนนั้นถ้านึกออกย้อนไป มันมีปัญหาเรื่องการจัดตั้งมูลนิธิ เขาก็เลยเพิ่มจาก 2 แสน  เป็น 5 แสน  ถึงจะตั้งมูลนิธิได้   เดิมทีเดียวสองแสน   แต่ว่าเกิดปัญหานี้เขาก็เลยปรับเพิ่มเป็นห้าแสน   ผมก็ไปขอร้องเขา  ว่าขอที่สองแสน  เขาก็ไม่ยอม  ไม่ยอมท่าเดียว  ผมก็ตื้ออยู่นั่นแหละ  ใส่เครื่องแบบพลตรีนะ  ก็พูดจนกระทั่งเขายอม ให้เป็นรายสุดท้าย  จึงเป็นรายสุดท้ายที่ได้ตั้งมูลนิธิด้วยเงิน  2 แสน

 

ผมก็กลับมาที่วัดเขมาฯ   บอกถึงเรื่องนี้....... ทั้งพี่ทั้งน้อง คนนู้นคนนี้ หลายคนที่ขอเสนอตัวเป็นกรรมการ ผมก็บอกว่าขณะนี้มีไม่ถึงแสน จะขอรับบริจาคแต่ละคนมาก่อน พอมีแล้วจะคืนให้ ผลปรากฏว่า ถอนตัวออกจากกรรมการเกือบหมด  (หัวเราะ)  ไม่มีใครเอาด้วย  เพราะว่าเรื่องอะไรจะให้เอาเงินไปจมเฉยๆ   คนหนึ่งตั้งหลายสตางค์กว่าจะครบสองแสน  ทำยังไง  เงินก็ไม่มี  ในที่สุดผมก็ทำทุกวิถีทาง ได้จากคนนู้นนิดคนนี้หน่อย  น้อยบ้าง มากบ้าง   ในที่สุดก็ได้สองแสนด้วยเงินของผมเองเป็นส่วนใหญ่   นี่พูดจริงๆ ว่าเงินส่วนใหญ่ ก็ไปลง  ไปลงปุ๊บ เรียบร้อย พอลง 2 แสน ก็ผ่าน จนได้รับอนุมัติตั้งแต่ต้นปี 2538  นี่เป็นที่มาของมูลนิธิฯ ยังไม่ได้สร้างตรงนี้  แต่มาพบที่นี่ และตกลงที่จะสร้าง เริ่มสร้างตั้งแต่ปลายปี 2539 ตามที่เล่าไปแล้ว  เดือนเมษายน 2540 ยังได้แค่ชั้น 2  ตัดสินใจย้ายมาเลย   คนก็มากันเต็มยาวเหยียด  แถวนี้ยังเป็นป่าหมด  คนก็พูดกันเป็นเสียงเดียวว่า  มาอยู่ไกล  บ้านนอกอย่างนี้  ใครจะมา   ถนนหนทางก็ยังไม่ดีอย่างทุกวันนี้

       

  ผมเอาป้ายไปติดสะพานลอย ประกาศจะทำพิธีเปิดมูลนิธิฯ ป้ายผ้าใหญ่เลย แขวนตรงสะพานลอยผูกเอาไว้   พอแขวนเย็นนี้   เดี๋ยวเดียวหายไปทั้งผืนเลย  เอาผ้าไปหมดเลย   คือจะบอกเส้นทางมาก็ไม่ต้องบอกแล้ว  เอ้า...เราก็ยอม  ที่ผมตัดสินใจตรงนี้ เพราะติดกับห้างจัสโก้ เลยมั่นใจว่าต้องเจริญ ซึ่งต่อมาห้างเซ็นทรัลได้มาซื้อต่อจากจัสโก้   ที่ตั้งขึ้นมาโดดๆ  ไม่ได้มีอะไรป้องกันทั้งสิ้น  อยู่อย่างเนี้ย   อาศัยบุญจริงๆ เลย  ไม่มีใครมาแตะมาต้อง  ก็สามารถจะอยู่ได้โดดๆ    ภายหลังจากนั้นมาไม่นาน  ก็มีบริษัทประมูลรถยนต์  เขาก็เริ่มมา ก็มีคนมามาก   แต่เขาก็ไม่ได้มายุ่งอะไร เราก็อยู่ของเรา นี่ก็พูดถึงสิ่งแวดล้อมที่เริ่มเข้ามา คือสร้างได้แต่ก็ยังไม่จบ เงินก็เสียไปเรื่อย ที่ทำสัญญา เดือนละ 1 ล้าน  ผมจะต้องหาเงินให้ได้เดือนละหนึ่งล้าน ที่ต้องส่งให้เขาเนี่ย 12 เดือน  นี่ต่อรองราคากันไว้นะ  เดือนละล้านเนี่ย 12 เดือน  ก็คือปีหนึ่ง  ส่งไปได้ถึงเดือนเมษานี่ ก็เพิ่งตั้งได้แค่นี้  ต่อมาก็จะต้องจัดหาเฟอร์นิเจอร์ หรืออะไร   สิ่งต่างๆ หลายอย่าง   ได้รับการช่วยเหลือบ้าง   หลายคนก็ช่วยมา     ช่วยเงินบ้าง ของบ้างสารพัด  ก็หมดไป  รวมๆ แล้ว ไม่ต่ำกว่า 20 ล้าน  ทั้งของทั้งอะไรหมด

 

แต่ว่าทั้งหมดนี้ผมยกให้สภากาชาดจดทะเบียนโดยใส่ชื่อมูลนิธิแล้วก็ทำไปเลยว่าถ้าเลิกกิจการนี้เมื่อไรคือไม่มีคนทำต่อทุกอย่างยกให้สภากาชาดไทย  แต่ถ้าตราบใดยังทำอยู่  ยังรักษาโรคอยู่ ก็จะเป็นมูลนิธิฯ ต่อไป  เพราะฉะนั้นทั้งหมดนี้  ไม่ได้เป็นของใคร  อยู่ในนามชื่อมูลนิธิฯ    กันไว้ก่อน  เพื่อไม่ให้ครหาผมด้วย  หรือไม่มีใครมาเป็นเจ้าข้าวเจ้าของ นะครับ   อันนี้นี่คือเจตนาของผม กันเอาไว้ก่อน

 

  ...นี่เล่ามาย้อนมาถึงตรงนี้  เรื่องที่มา  ที่ตั้ง  และอะไรต่ออะไร   แล้วก็ชื่อ  ชื่อก็ต้องมาตั้งเป็นภาษาอังกฤษว่า  Foundation for Training in Universal Energy

 

สรุปว่าทุกคนก็ช่วยกันคนนู้นช่วยบ้างคนนี้ช่วยบ้างที่ไม่สู้ก็ลาออกไป  คนที่อยู่กับผมอย่างเหนียวแน่น  เอ่ยชื่อเลยก็คือ พล.. ประสาท แทนขำ  ก็ช่วยเงินมาด้วย และก็ยอมอยู่กับผม  เป็นไงเป็นกัน  มีเท่าที่มี  และช่วยกันเพื่อที่จะทำให้สำเร็จ  และท่านก็เป็นรองประธานมูลนิธิฯ  ปัจจุบัน ท่านเสียชีวิตแล้ว   คือสรุป ตอนนั้นก็หนีกันหมด    แต่แรกจะให้รุ่นพี่คนหนึ่งเป็นประธาน  ปรากฏว่าพอพูดเรื่องนี้ปุ๊บ เขาถอนตัวเลย มันก็ว่างสิ  แต่มูลนิธิมันต้องมีประธาน  มีกรรมการ  ทุกคนก็ลงความเห็นว่า เกษม นั่นแหละ  เป็นคนก่อตั้ง  นั่นแหละผมเลยเป็นไปโดยปริยาย  ซึ่งคนที่เขาจะให้เป็นนั้นขณะนี้เสียชีวิตไปแล้ว เขาถอนตัวก่อนตั้งแต่แรกพอรู้ว่าจะต้องช่วยกันลงขัน ไม่ต้องไปเอ่ยชื่อเขา สรุปว่าผมก็เลยเป็นประธานมาตั้งแต่ตอนนั้น แล้วก็ตั้งขึ้นมาโดยใช้กฎเกณฑ์ต่างๆ ตามรูปแบบของมูลนิธิทุกอย่าง ทำอะไรถูกต้องทุกอย่าง เสียภาษี  แสดงงบดุล  ทุกอย่างทำตามระเบียบเป๊ะ

       

 

ทีนี้ย้อนกลับมาตอนที่ยังไม่ได้สร้างปีนั้นปี 2538 ผมเรียนมาตั้งแต่ปี 2535 แล้วก็สอนมาไม่รู้กี่รุ่น  สะสมมาเรื่อยๆ    ระดับ 1,2  มันมากมายจนเป็นหมื่นคน ที่เรียน 1,2 แล้วก็บอกว่าอยากจะเรียนต่อระดับ 3  ปี 2537 อาจารย์ทิวาก็ติดต่ออาจารย์ชาวเวียดนามท่านหนึ่ง  ชื่ออาจารย์วู๋  (voo)  มาสอนระดับ 3  สอนแค่ทฤษฎี  แล้วก็บอกว่าตอนนี้ยังไม่เปิดจักระ 100%   แต่ให้รู้ว่าทฤษฎีระดับ 3 เป็นอย่างไร  แต่ยังทำอะไรไม่ได้   จะทำได้ก็ต่อเมื่อต้องเปิดจักระ 100% อ้าว! เรียนไปแล้วก็ยังทำอะไรไม่ได้อีก ให้ทำแบบระดับ 2 ไปก่อน  จำนวนคนที่เรียนทฤษฎีระดับ 3  น่าจะไม่ต่ำกว่าประมาณ 4-5 พันคน โดยประมาณ  พวกนี้ก็ค้างเติ่ง  จักระ 100%   ก็ยังไม่ได้เปิด

 

จนกระทั่งมาปี 2538 อาจารย์ทิวาก็บอกว่า    นี่.. เกษม ชั้นว่าเราไปหาอาจารย์ใหญ่กันดีไหม  ท่านกำลังจะเปิดสอน ระดับ 4 แล้วเปิดจักระ 100% ด้วย   ไปที่เมืองลูเซิร์น   ประเทศสวิตเซอร์แลนด์   

ตอนนั้นคิดว่าจะมีคนสมัครสักกี่คน  ก็เริ่มประกาศส่งข่าว  ปรากฏว่าเฉพาะกลุ่มคนไทยที่กรุงเทพฯ ประมาณ 200 คนเศษ  แล้วบวกกับ กลุ่มคุณลาวัลย์ อยู่ที่เชียงใหม่   มาอีก 22 คน คุณลาวัลย์เนี่ย   

เขาอยากจะมาเรียน เพราะว่าอาจารย์ทิวาไปสอนวิชานี้ระดับ 1, 2  และระดับ 3    ก็สอนอยู่เหมือนกันที่เชียงใหม่   สรุปแล้วจำนวนหนึ่งที่เชียงใหม่ก็ค้างเติ่งเหมือนกัน   เขาก็รวบรวมได้ 20 กว่าคน   มาผสมรวมกับเราก็กลายเป็น 240 คน โดยประมาณ

ก็รวมตัวกันเดินทางไปทั้งลำมีแต่พวกเราเต็มไปหมดผมจะเล่าให้ฟังว่าผมก็เตรียมเงินไป 3 หมื่นดอลล่าร์  ผมถือ 1 หมื่น  และให้อีก 2 คน  ถือคนละ1 หมื่น  รวมทั้งหมด 3 หมื่น    ถามว่าเงินสามหมื่น

มาจากไหน  ก็จากการรวบรวมอย่างที่เล่ามานี่แหละ  ซึ่งอาจารย์ทิวาก็พูดเกริ่นไว้ก่อนหน้านี้แล้วว่า  เราต้องรวบรวมเงินไปให้อาจารย์นะ อย่างนั้นอย่างนี้  ก็รวบรวมแล้วแลกมาเป็นเงินดอลล่าร์ได้ 3 หมื่น  ใส่ไว้ในเสื้ออย่างดีไม่ให้ใครเห็น  ก็ไปพบอาจารย์แต่ยังไม่ได้สอน  ไปที่นู่นจะสอนทั้งหมด 3 วัน สำหรับระดับที่จะสอนนี้   ก่อนที่จะถึงเวลาสอน 3 วัน    ผมก็ได้ไปพบอาจารย์ใหญ่    โดยอาจารย์ทิวาพาไป  ผมก็เอาเงิน 3 หมื่นไปให้อาจารย์ใหญ่ อาจารย์ถามว่า ให้ค่าอะไร?  คำถามแรก อาจารย์ทิวาก็พูดเป็นภาษาเวียดนามผมฟังไม่รู้หรอก พอพูดจบ   อาจารย์ก็ผลักเงินทั้งหมด  แล้วก็พูดกลับมา  อาจารย์ทิวาก็แปลกลับมาว่า  อาจารย์ไม่รับ   

ให้คุณเนี่ยเอาไปตั้ง  ผมถาม ตั้งอะไรครับ ตั้งโรงเรียน ตั้งหน่วย ผมก็ถาม โรงเรียนหรืออะไร  ท่านก็พูดภาษาเวียดนาม  อาจารย์ทิวาก็แปล             (อาจารย์ทิวาเนี่ย   ท่านก็ไม่ได้ชำนาญ  พอพูดฟังได้บ้างไม่ได้บ้าง      มีบางครั้งท่านแปลไม่ได้ ร้องห่มร้องไห้ ผมก็ต้องเข้าไปปลอบ คือสอน ระดับที่ 5 ที่ต่างประเทศ  แปลไม่ออก เพราะวันนั้นสอนเรื่องจิตวิญญาณ แล้วก็เกี่ยวกับศาสนาพุทธด้วย เรื่องง่ายๆ เรื่องนิวรณ์ทั้ง 5  อาจารย์ทิวาไม่รู้เรื่อง แปลไม่ออก นั่งร้องไห้ฮือๆ อยู่ในบูท   ฉันแปลไม่ได้  อาจารย์พูดศัพท์สูงจัง  ผมก็ต้องไปนั่งปลอบ ให้พูดไป ขออนุญาตต้องเอ่ยชื่อ เพราะจริงๆ เป็นอย่างนั้นจริงๆ กระซิบกันอยู่ในบูท ไม่ให้ใครเห็น ผมก็บอกอาจารย์พูดไปเถอะ ผมก็แนะนำ แล้วทีนี้ก็โอเค) ท่านก็ไว้ใจผมมาก เพราะผมจะเป็นผู้ทั้งแนะนำเวลาก่อนจะสอน ผมจะพูดในทางที่ดี

   

ทีนี้ปรากฏว่า  เล่าถึงตอนที่ให้ไปตั้ง  ท่านก็พูดว่าให้ไปตั้งอะไร  โรงเรียนหรือ ในที่สุดท่านเห็นว่าคงจะพูดกันไม่รู้เรื่อง   ท่านจึงโพล่งออกมาคำหนึ่ง  Center  อ้อ! เอาละ... สร้าง Center พอท่านพูดว่า Center ผมเข้าใจทันทีว่าคืออะไร  ผมบอกงั้นผมมีแล้ว ท่านก็ทำตาลุกโพลง อะไรล่ะ  แต่มันเป็นลักษณะของ Foundation ท่านก็ไม่รู้จักคืออะไร อาจารย์ทิวาก็แปลว่าอะไรก็ไม่รู้  ในที่สุดก็เข้าใจว่ามีแล้ว ท่านก็บอกว่า เอาเงินนี้ไปต่อ  your center  นึกออกใช่ไหม ก็คือให้เอาไปทำ your center ให้เรียบร้อย ท่านไม่รับเงินนี้ไป ก็ได้รับคืนมา ซึ่งพูดภาษาเวียดนามอะไรผมฟังไม่รู้เรื่อง แต่ผมมาจับได้คำเดียวที่ท่านพูดออกมาว่า Center ก็เข้าใจว่าท่านหมายถึงอะไร

 

.จรูญ มีใครเข้าไปพบ อาจารย์ใหญ่ บ้าง

พล.. เกษม  ตอนนั้นไม่มีใครเข้าไปมาก  มีแค่ผม  อาจารย์ทิวา และก็อีก 2 คนที่ถือเงินเข้าไป  ไปเป็นพยานแค่นั้น

 

ทีนี้ตอนที่คุยกันเนี่ยคุยกันหลายเรื่องแปลไปแปลมาผมก็พูดภาษาไทยอาจารย์ทิวาพูดภาษาเวียดนาม       ผมก็บอกว่าจุดมุ่งหมายว่า    เรามีนักเรียนมาที่นี้ 200 กว่าคน   เพื่อจะมาเรียนกับอาจารย์  ในระดับ 4 นี้  และอยากจะได้รับการเปิดจักระ 100%    จริงๆ แล้วมีจำนวนเป็นพันคน   อาจารย์ก็พูดว่าขนาดนั้นเลยหรือ  ก็เป็นพันจริงๆ หลายๆ พันเลย  ไม่ใช่หนึ่งพันด้วย ที่ต้องการอยากจะเรียนอันนี้แต่มาไม่ได้ มาได้แค่เท่านี้    ประมาณ 250 นี่  ดูเหมือนเยอะนะ  แต่พอจริงๆ ไปนั่งเรียน    ในนั้นมีเป็นพันคน  ที่ลูเซิร์นน่ะ  เป็นฮอลล์ใหญ่ มีต่างชาติอีก รวมแล้วเป็นพันคน  ผมก็เลยถือโอกาสบอกว่ายังมีคนรออยู่ที่เมืองไทยอีกมาก ผมขอเชิญอาจารย์ไปที่เมืองไทยได้ไหมครับ ไปสอนที่เมืองไทย  ท่านนิ่งอยู่พักหนึ่ง...  แล้วตอบมาว่า  ok ท่านพูดภาษาอังกฤษ   ที่ไปตอนนั้น  ปี 38  ท่านบอก ประมาณเดือน ก.. .. นะ จะมา  ผมก็เอาข่าวนี้มาบอกกลุ่มคนไทยที่นั่น  ก็ดีใจกันใหญ่  และทางนั้นเขาก็ส่งข่าวต่อมาทางเมืองไทยว่าอาจารย์ใหญ่จะมาสอนจริง ประมาณเดือนตุลาคม ที่เมืองไทย

 


          เอาละทีนี้  พอเข้าไปปั๊บ 2 วันแรก อาจารย์ใหญ่ยังไม่ได้สอน   สอนที่นั่นกำหนด 3 วันนะ               ที่ลูเซิร์นน่ะ 2 วันแรกท่านไม่ได้สอน  คนที่มาสอนเป็นหัวหน้าศูนย์ลูเซิร์น  ซึ่งก็เป็นเวียดนาม ก็มาพูดภาษาเวียดนาม แปลกันมารู้บ้างไม่รู้บ้าง แบบที่ว่าเนี่ย อาจารย์ทิวาแปลเป็นไทย เป็นการสอนระดับ 3 เหมือนที่อาจารย์วู๋สอน  อาจารย์ใหญ่สอนวันที่ 3 เป็นการสอนระดับ 4  ในที่สุดก็ได้ความรู้หลักๆ เลยคือเรื่องการหมุนจักระ และได้รับการเปิดจักระ 100%

ในช่วงการเปิดจักระ 100%  ผมก็ตั้งใจเต็มที่เลย เพ่งไปที่หน้าอาจารย์  ผมเห็นหน้าอาจารย์เป็นรูปคล้ายๆ มีรังสีอยู่รอบๆ ท่าน จริงๆ เลย เป็นฝ้าขาวมาเลย  และข้างในผมก็รู้สึก ตึ๊กๆๆ  เหมือนแผ่นดินไหวน่ะ  โอ้โห พลังแรงขนาดนี้เลยหรือเนี่ย เพ่งไม่ยอมหยุด ไม่ยอมกระพริบตาเลย นี่คือตอนที่รับพลังเปิดจักระ 100%  (ตอนที่เปิดจักระเมื่อก่อนนี้  ต้องเอามือแตะ  อาจารย์ทิวาเปิดได้คนเดียว  เรียนตั้งแต่ 1 ทุ่ม ถึง 3 ทุ่ม  กว่าจะเลิก)  แต่การเปิดจักระ 100% นั้นไม่ใช่  ท่านใช้วิธีให้ทุกคนแต่ละคน แตะ 7 กับ 6  แล้วก็มองที่อาจารย์ใหญ่ ผมก็รู้สึก ตึ๊กๆๆ เป็นความรู้สึกของผม คนอื่นไม่รู้ จากนั้นท่านก็สอนการหมุนจักระเป็นระดับ 4 อาจารย์ก็บอกถ้าหมุนพร้อมกันมันจะเป็นแบบนี้  ข้อ 1, 2, 3  และท่านก็บอกว่าระหว่างที่ท่านพูดภาษาเวียดนาม   ใครที่ฟังไม่รู้เรื่องก็ทำสมาธิ หมุนจักระไปสิ  ผมก็ทำ   ไม่ได้เรื่องเลย...   เพราะมันมีเสียงดังด้วย  เสียงท่านพูดด้วย   การทำตอนนั้น    แต่ปรากฏว่าไม่ค่อยได้เรื่องเท่าไร   ผมมาได้ผลตอนไหนรู้ไหม...      

ตอนเดินทางกลับ  ขากลับก็กลับไม่หมด กลุ่มเชียงใหม่เขาไม่ได้กลับพร้อมด้วย  เขาให้ทัวร์ดูแลแล้วพาเที่ยวต่ออีก 7-8 วัน

 

ระหว่างเดินทางกลับผมก็ไม่รู้จะทำอะไรมันก็เงียบๆ  ผมจึงลองนั่งทำสมาธิไปเรื่อยๆ มันมีอาการอย่างที่บอกเลย เกิดอาการพร้อมๆ กันหลายอย่างในตัวผม อย่างที่อาจารย์บอก   ไม่ได้ลุกไปไหนเลย     แสดงว่าจักระเราหมุนพร้อมกันหมดเลย  ยังนึกในใจว่า  เอ๊ะ! หรือเราจะต้องเป็นคนไปสอนต่อหรือไง   ซึ่งในที่สุดก็เป็นอย่างนั้น

 

จะเล่าให้ฟังว่าตอนที่ถึงเวลาพักหลังจากที่อาจารย์เปิดจักระให้แล้วผมก็ลงมาดูแต่ละคนก็มีอาการแปลกๆ  บางคนอาเจียน  บางคนนั่ง  นอนแผ่ก็มี  บางคนคลานเหมือนแบบเดินไม่ได้  หลังจากเปิดจักระแล้ว  บางคนก็เป็นปกติ    อย่างผมเนี่ย  รับแล้วมีอาการเหมือนแผ่นดินไหว  ตึกๆ  มีความสั่นอยู่ข้างใน  หรือว่าเราคิดไปเอง  ก็ไม่กล้าถามใคร  มันอาจจะเป็นอาการอะไรก็แล้วแต่   สรุปแล้วก็รับได้หละ  นั่นคือตอนที่เรียนกับอาจารย์ใหญ่ที่ลูเซิร์น

 

แล้วในที่สุดท่านก็มาเดือนตุลาคม  นั่นคือครั้งแรกที่ท่านมาเมืองไทย  ผมก็ส่งข่าวว่าท่านอาจารย์จะมาแน่นอน  มาสอนวันที่เท่าไรนะ   ตอนนี้ อ.จรูญ เริ่มเข้ามามีบทบาทแล้ว  เริ่มเข้ามาเป็นล่ามแปลใช่ไหม ผมชักจะเลือนๆ

 

.จรูญ ยังครับ ยังไม่ได้มา

พล.. เกษม อ้อ! นึกออกแล้ว อาจารย์ทิวาก็ยังเป็นคนแปล

 

ผมก็ไปเช่าสถานที่คือศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย  ก็ไปทำให้มันแจ๋วๆ หน่อย  มีแท่นบรรยายให้วิทยากร   ผมก็บอกว่าอาจารย์จะนั่งตรงนี้  และข้างหลังฉากจะทำเป็นเมฆ  ให้มีลักษณะเหมือนมีฟ้าแลบ ฟ้าร้อง  มีเมฆลอยผ่านไป  เขาก็ทำตามที่ผมต้องการทุกอย่างเลย   เพราะว่าเราเช่าที่เขาน่ะ   ใช้แอฟเฟคพวกนี้  ทำเป็นฟ้าร้อง มีเมฆลอยมา พออาจารย์ทำสมาธิส่งพลัง ก็ใช้ไฮโดรลิคดันที่นั่งอาจารย์สูงขึ้นเรื่อยๆ  ก็จะเหมือนอาจารย์ลอยขึ้นมา ทุกคนก็บอก อาจารย์มีอภินิหารสูงมากเลย เหาะได้...

 

ก็สอนอยู่ 2 รอบ    มีทั้งชั้นบนและชั้นล่างเต็มหมด  รวมแล้วน่าจะประมาณรอบละ 2,000 คน  จำนวนไม่แน่นอน  เรียกว่า 2 รอบเต็มก็แล้วกัน  คือต้องเปิดจักระ 100% 2 ครั้ง  ซึ่งผมก็อยู่ตลอด  อาจารย์ก็สอนอยู่หน้าเวที ผมก็ให้ 2 คนที่เป็นคนถือเงินไว้ตอนนั้นน่ะไปยืนเป็นการ์ดอยู่ด้านหลังท่านบนเวที คนหนึ่งเป็นทนายความ  อีกคนเป็นนายธนาคาร   เขาก็ภูมิใจมากเลยได้ไปยืนเป็นการ์ดให้อาจารย์ ทั้ง 2 รอบเลย    ส่วนอาจารย์ทิวาเป็นคนแปล ก็แปลได้ เพราะใจความสำคัญก็เหมือนกับที่เคยแปลที่เมืองลูเซิร์น อาจารย์ทิวาแต่งตัวสวยมากเลย  สอนจบแล้วก็มีการพาไปช็อปปิ้งนิดหน่อย  ไปต่างจังหวัดแถวๆ อิสานไปถึงจังหวัดอุบลราชธานี ระหว่างทางท่านก็คุยเป็นภาษาเวียดนาม ท่านบอกว่าวิชานี้ จริงๆ เนี่ยถ้าว่าไปแล้วก็มี 6 ระดับเท่านั้น  ส่วนระดับที่ 7  for Master ท่านพูดว่าอย่างนี้ “Only for Master” หมายความว่า ความจริงไม่ใช่ระดับของตัวท่าน   ความหมายคือ ระดับที่ 7 คือ คนที่จะออกไปเป็นครู  ในภาษาจริงๆ  แต่อาจารย์ทิวาแปลเรียกว่าเป็นระดับของอาจารย์ ห้ามไปยุ่ง จริงๆท่านไม่ได้บอกว่าสำหรับตัวฉัน  ท่านบอกว่าคนที่จะไปเป็นครู  ถึงจะได้เรียนระดับ 7  ซึ่งก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ     แต่อาจารย์ทิวาแปลบอกจะไปยุ่งไม่ได้   เป็นระดับของอาจารย์  (แต่ในที่สุดอาจารย์ใหญ่ก็สอนนี่ ระดับ 7)  เล่าให้ฟังนะ  แล้วเดี๋ยวผมจะขมวดให้ฟังต่อว่า ระดับ 5 แล้วไป 6, 7 ยังไง

 

ทีนี้เรื่องการสอน  สอนวันนั้นแค่ระดับ 4 ต่อจากเปิดจักระ 100%  และได้ถือโอกาสพาไปเที่ยวตามที่กล่าวมาแล้ว   ไม่ได้ขึ้นเครื่องบินหรอก  นั่งรถไป   คุยกันไปตลอดทาง    แวะดูหินที่มันซ้อนกันที่

หอนางอุษา  อาจารย์บอกหินที่มันซ้อนกันอยู่นี้ ใช้จักระ 6 ยก  โอ้โห!  ผมก็ทึ่งเลย  ใช้จักระ 6 ยก  จริงๆ เหรออาจารย์  ผมจะทำได้ไหมนี่ ท่านบอกต้องใช้จักระ 6 ยก  มันก็ยิ่งทำให้เราน่าจะศึกษา  คือสนใจมากขึ้นอีก  เพราะมันมีอนุภาพขนาดนี้  คือท่านเล่าอย่างนั้นจริงๆ แต่ความหมายท่านอาจจะหมายถึง  จักระ 6  สามารถใช้ทำงานได้สารพัดจริง มีความสามารถเหมือนกับจะยกก้อนหินก็ได้  นี่ผมมาเข้าใจทีหลัง แต่ตอนนั้นเล่าถึงความรู้สึกให้ฟังว่า  รู้สึกว่า โอ้โห อธินิหารขนาดนั้นเลยหรือ  (เพราะอาจารย์ทิวา แปลอย่างนั้น)  แต่ตอนนี้ผมเข้าใจแล้วว่า ที่จริงมันใช้พลังได้มาก  ระหว่างทางก็คุยนู่นนี่  แล้วก็ไปทานอาหาร  ผมเลยได้รู้จักภาษาเวียดนามคำหนึ่ง  ท่านบอกท่านชอบเฝอ  ผมก็ถามอาจารย์ทิวา อะไรคือ เฝอ  ท่านบอก  ก๋วยเตี๋ยว (หัวเราะ)  คือไม่รู้ก็ถามอาจารย์ทิวา    แล้วก็ไปห้างสรรพสินค้า  ซื้อนู่นซื้อนี่    ท่านเห็นว่าอาจารย์ทิวาไปยืนมองรองเท้าคู่หนึ่งเป็นสีเขียว   ซึ่งอาจจะดูด้วยความสนใจหรืออะไรก็สุดแล้วแต่    อาจารย์ใหญ่ก็หันมาพูดภาษาเวียดนาม  ปนอังกฤษ  อาจารย์ทิวาก็แปลให้ฟังว่า She เนี่ย ชอบ   อาจารย์ทิวาก็ทึกทักเลย   อาจารย์ใหญ่เขาให้คุณซื้อให้ฉัน พูดง่ายๆ ถวายชีวิตให้อาจารย์ใหญ่เลย บอกให้ทำอย่างนี้ก็จะทำอย่างนี้  ผมก็ต้องซื้อให้   หมายถึงว่าความจงรักภักดีของอาจารย์ทิวากับอาจารย์ใหญ่แนบแน่นจริงๆ ท่านเชื่อฟังทุกอย่าง  แค่ไปดูแล้วอาจารย์บอกว่าสงสัย She จะชอบมั้ง      นอกนั้นก็ท่านก็ซื้อของต่างๆ  ที่โรบินสัน รัชดา เพราะว่าพักอยู่ใกล้ๆ แถวนั้น   สอนเสร็จก็ยังไม่ได้กลับทันที   ยังมีการทัวร์ที่นั่นที่นี่ ไปทางภาคอิสานตามที่ผมพูดไปแล้ว ผมอาจจะเล่าสลับไปมานะครับ

 

ก็ได้คุยกับอาจารย์ใหญ่เล่าให้ท่านฟังว่า  ขณะนี้ผมกำลังจะสร้าง Center อยู่ คือ กำลังหาที่ตั้งสำนักงานมูลนิธิฯ ท่านก็บอกว่า เดี๋ยวสร้างเสร็จท่านจะมาดู คล้ายๆ ทำนองนั่น ผมบอกว่ากำลังหาสถานที่ ยังไม่ได้ลงมือสร้าง จากนั้นมาท่านก็สอนระดับ 3-4 อีกหลายรุ่น  ต่อมาก็สอนระดับ 5  ที่เมืองไทย แล้วก็ไปสอนที่ประเทศสเปน  และที่ประเทศอื่นๆ อีก ผมก็ตามไปฟังตลอดทุกระดับ

 

.จรูญ ตอนนั้นท่านสอนระดับ 3-4 อยู่ที่ ม.สุโขทัย

 

  อาจารย์ใหญ่มาประเทศไทยหลายครั้งในช่วงปีนั้น  จนกระทั่งในที่สุดสอนระดับ 5 และก็จะมาสอนระดับ 6      แต่ก่อนจะถึงระดับ 6  ท่านก็เลยถือโอกาสคั่นด้วย 5.1 (เป็นเรื่องการใช้จักระ 6)   พอ 5.1 ไปเรียบร้อย  ก็ยังไม่พร้อมอีก  ก็เลยเปิด 5.2  อีกระดับ เป็นการคั่นเพื่อรอที่จะสอนระดับ 6

   

ทั้ง 5.1 และ 5.2  เปิดโดยเหตุบังเอิญที่ยังไม่พร้อมจะเปิดระดับ 6 ทั้งสถานที่และอื่นๆ อีก

        

        
          พอได้สถานที่เรียบร้อยแล้ว คือได้ที่ รีสอร์ทคำแสด  จังหวัดกาญจนบุรี   เพราะว่าท่านเคยบอกว่าอยากได้ที่เป็นภูเขาและเป็นที่ราบมีผืนน้ำ เผอิญที่รีสอร์ทคำแสด มีแม่น้ำผ่านด้านหน้า ทำสัญญาเลย ปิดคำแสด เป็นเวลา 18 วัน สอนจริง 15 วัน  วันแรกเดินทางเข้าที่พัก อีก 2 วันสุดท้าย เป็นการฉลองและเตรียมเดินทางกลับ เดิมที ท่านบอกรับไม่มาก  กำหนดไว้ 40 คน  ปกติท่านจะเลือกนะ  คนไทยเท่านี้  ต่างชาติเท่านั้น  ให้ได้ 40 คน ท่านเลือกเอง รวมๆ  แล้วก็ได้ครบตามที่ต้องการ

 

มีชาวเวียดนามคนหนึ่ง  ชื่อ สตีฟ  เขาจะเรียนให้ได้     ทั้งๆ ที่ไม่ได้รับเลือกจากอาจารย์ใหญ่        แต่เขาบอกว่ารู้จักนิสัยอาจารย์ดีเดี๋ยวอาจารย์ก็ให้   ตื้อมากๆ เดี๋ยวอาจารย์ก็ให้   เขาจะต้องเรียนให้ได้     

ในที่สุดก็เป็นอย่างที่เขาว่าจริงๆ  อาจารย์ก็ให้   แล้วไม่ใช่ให้แค่คนนี้   ก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ  บางคนเดินทางมาแล้วอย่างนี้  ท่านจะไม่ให้เรียนได้อย่างไร จากที่บอกกำหนดไว้แค่ 40 คน กลายเป็น 140 คน  ห้องพักเกือบไม่พอ       เมื่อไปถึงจะเข้าที่พัก ท่านเรียกทั้งหมดมารวมกัน  ท่านบอกว่า  เกษม  อย่าเพิ่งให้รถกลับนะ    เดี๋ยวจะบอกเงื่อนไขก่อน   คนที่เรียนระดับนี้   ต้องเสียสละ   ถ้าพบ ถ้ารู้ ถ้าเห็น ได้ยิน ได้ฟัง หรือเกิดอะไรขึ้นที่ไหน  จะต้องช่วยกัน  รีบส่งพลังช่วย  แต่ถ้าใครคิดว่าทำไม่ได้   เกษม  คืนเงินเขาไปด้วย  แล้วเอารถพาเขาไปส่ง  คือจะไม่ให้เรียน ถ้ารับเงื่อนไขนี้ไม่ได้ คล้ายๆ เป็นคำมั่นสัญญาให้อาจารย์  ใครที่รับเงื่อนไขนี้ไม่ได้ ให้ยกมือ แล้วออกไปเลย  แล้วให้เกษม  คืนเงินไปด้วย  (ตอนนั้นเก็บเงินคนละ 25,000 บาท / เป็นดอลล่าร์ให้เก็บ 1,000 ดอลล่าร์)  ให้คืนเงินด้วย  แล้วให้รถไปส่งด้วย  เงียบ....   สรุปแล้ว  ไม่ต้องคืนเงิน   รถก็กลับไปได้  สอนตั้งแต่เช้า 08.00 - 17.00 .  มีเหตุการณ์ต่างๆ เกิดขึ้นมากมาย

 

มีบางวันเรียนตั้งแต่ 08.00 .  แล้วพักเที่ยง  ก่อนจะจบตอนเย็น  ท่านบอก  คืนนี้พิเศษจะสอนอีก     บางคนแต่งชุดนอนมาเรียนนึกว่าไม่นาน ปรากฏว่า 2 ยามก็แล้ว ตี 1 ก็แล้ว สอนถึงตี 2 และไม่ใช่วันเดียวนะ หลายวันด้วยที่สอนติดต่อกันแบบนี้   หันไปดูคนแปลหลับไปแล้ว    ท่านก็อธิบาย  เขียนแผนที่อะไรต่างๆ   น้ำจะท่วม อะไรจะหายไป  น้ำแข็งจะละลาย  ท่านพูดไว้ก่อนหมด  ค่าเงินดอลล่าร์จะลดราคาลงมาเรื่อยๆ  จนต้องล่มสลายไป  คือท่านพูดเหตุการณ์ทำนองนั้น  มีอย่างหนึ่งอาจารย์บอกไว้ว่า จะมีโรคประหลาด ไม่รู้ว่ามาจากไหน ท่านเรียก Unknow Virus นี่แหละ จะมา  และจะมาเรื่อยๆ  ผมคิดว่า ก็คือ Covid นี่แหละ ท่านพูดไว้ล่วงหน้า เป๊ะๆๆ ตามนั้นเลย  ตอนนั้นผมก็ฟังไป บางทีก็เผลอหลับไปบ้าง  ตื่นขึ้นมา อ้าว อาจารย์ยังพูดอยู่เลย

 

ที่ท่านอยากได้สถานที่แบบเป็นป่าเพราะจะได้ส่งพลังหากันผมคิดว่าคงต้องไปนั่งตามโคนต้นไม้แล้วส่งพลังถึงกัน  แต่ปรากฏว่าไม่ใช่  (ก่อนจะได้ที่คำแสดรีสอร์ท ได้ไปสำรวจหลายแห่งรวมทั้งที่เขาใหญ่ด้วย)

 

ตอนเย็นหลังจากเลิกเรียนแล้ว  ผมได้ที่ไปเดินเล่น  ก็เริ่มสัมผัสได้แล้ว มีอาการขนลุกซู่ๆ ก็ไปเล่าให้อาจารย์ฟัง  ได้ความว่า ที่ตรงนี้เคยเป็นสนามรบ คนตายเยอะ   ไม่เป็นไรก็แผ่ส่วนกุศลไปให้พวกเขา

 

.จรูญ ครั้งแรกที่อาจารย์ใหญ่เปิดจักระ 100% ที่ไหนครับ

พล.. เกษม ก็ที่เมืองลูเซิร์นนั่นแหละ ตามที่ท่านพูดตอนสอน โชคดีที่คนไทยเนี่ยที่ไปครั้งนั้น คนมาหลายชาติมากมาย แออัดจริงๆ แทบไม่มีที่นั่ง หลายพันคน  คนไทย 240 คน เข้าไปแล้ว

 

.จรูญ ครั้งที่ท่านไปนั้น  เป็นการไปเพื่อเปิดจักระ 100%

พล.. เกษม ถูกต้อง ที่ลูเซิร์นนั่นแหละ สวิสเซอร์แลนด์ หลังจากเปิดจักระ 100% แล้วก็สอนระดับ 4 (การหมุนจักระ)

.จรูญ ก่อนหน้านั้น ไม่เคยมีการพูดถึง การเปิดจักระ 100%

พล.. เกษม ไม่มีครับ นั่นเป็นครั้งแรก

 

ผมได้เห็นตุ๊กตาตัวเล็กๆก็ครั้งนั้นแหละตอนที่ท่านสอนแล้วก็เอาให้ดู  ท่านเล่าว่าให้ฟังว่า ตุ๊กตานี้ที่มามันเป็นยังไง      เดิมทีแรกก็เป็นตุ๊กตาธรรมดา  แล้วท่านก็อยากจะลองวิชานี้ดู  โดยใส่พลังทุกวัน      จนกลายเป็นสีนี้  สีฟ้าๆ  ไม่ได้ศักดิ์สิทธิ์อะไรหรอก   ท่านเอามาทดลอง   คนให้มาเดิมเป็นดินเผาธรรมดา  ใส่พลังทุกวันๆ  ก็กลายเป็นอย่างนี้  ท่านก็ส่องให้ดู   เพราะฉะนั้นเวลาท่านสอนระดับนี้เมื่อไหร่ก็จะโชว์ตุ๊กตานี้

 

.จรูญ สอนที่เมืองไทย ท่านก็โชว์อย่างนี้ แล้วมีรูปภาพถ่ายออกมา  อาจารย์ใส่ชุดขาวทั้งตัว

พล.. เกษม สอนที่ศูนย์วัฒนธรรมก็โชว์ ก็มีคนถ่ายออกมาเห็นใส่ชุดขาวๆ ก็ที่ศูนย์วัฒนธรรมนั่นแหละ

 

เล่าถึงการเปิดจักระ 100%  เช่นที่ ม.สุโขทัย หลายคนเป็นมีอาการแบบเดียวกัน สามีภรรยาคู่หนึ่ง เพื่อนของพ่อคุณอ้น บอกว่าคลื่นไส้อาเจียนเหมือนกัน เป็นกันหลายคน  ซึ่งในตัวของเราอาจจะมีพิษในร่างกาย อะไรก็แล้วแต่    พลังนี้เข้าไป Detox ให้   พวกที่ไม่เป็นอะไรก็อาจจะมีพิษไม่มากนัก  คนที่มากก็จะมีอาการหลายๆ อย่าง  ผมเชื่ออย่างนั้นนะ   เพราะผมเห็นกับตาอย่างนั้น   แต่ก็พิสูจน์ไม่ได้ว่าใช่หรือไม่ใช่ ไม่มีหมอคนไหนบอก  แต่หลายคนเป็นอย่างนั้น   นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้น  ที่ลูเซิร์น   ผมก็เห็นมีอาการดังกล่าวหลายคน  แต่ไม่เห็นมีคนไทยเป็นนะครับ

 

สอนระดับ6 เสร็จเรียบร้อยตอนนั้นก็ยังคงเป็นแค่ปิรามิด ใช้ปิรามิดธรรมดาเนี่ย ท่านอาจารย์ใหญ่ก็ให้ผมมาทำปิรามิดตามที่อาจารย์ใหญ่บอก   ไปจ้างเขาทำ  โดยเงิน 2 หมื่น 5 เนี่ยเป็นทั้งค่าที่พัก ค่าอาหาร และรวมถึงปิรามิดด้วย และงานเลี้ยงฉลองเมื่อจบ มีของชำร่วยแจก อาจารย์ใหญ่พอใจมาก ถือว่าเป็นการให้เกียรติท่านมากด้วย

 

ต่อมาท่านก็เปิดสอนอีกอันหนึ่ง   เรียกว่าเป็น  ระดับ 7  ท่านบอกว่า ให้เกษมไปทำปิรามิดเล็กๆ อีกอันหนึ่งให้ใส่ไว้ข้าง ก็เรียกว่า ปิดรามิดคู่ แล้วท่านก็สอนว่าปิรามิดคู่นี่เข้ามา merge กันยังไง

 

และต่อมาท่านก็จะสอนพลังภายในเกี่ยวกับเรื่อง Latent Ability  เขาเรียกพลังที่ซ่อนเร้น  คือจริงๆ พลังภายในของเรามีมากมาย แต่เราใช้เพียง 5% ที่ดึงมาใช้  อันนั้นเรียก ระดับ 8, 9, 10   คือ 3 ระดับนี้เกี่ยวกับเรื่องการใช้  Latent ability    แต่สรุปง่ายๆ ท่านมาบอกผมเป็นส่วนตัว  อันหลังๆ เนี่ยเป็น Special Siminar  เพิ่มเติมขึ้น    จริงๆ มันจบแล้ว จบตั้งแต่ตอนใช้ปิรามิดคู่

 

ผมก็เลยถามอาจารย์ว่า  ถ้าอย่างนั้นผมจะรวมให้มันเป็นชุดจะได้ไหม  คือ ระดับต้น 1-5 ที่มันคล้ายกัน จะรวมไว้เป็น Basic และส่วนระดับ 5.1, 5.2 หรือ 6 เนี่ย เกี่ยวกับเรื่องใช้ จักระ 6  รวมเรียกเป็นระดับ 6   และส่วนระดับที่ 7  มีปิรามิดเดี่ยว  ปิรามิดคู่  เป็นเรื่องของการประยุกต์ใช้พลังจักรวาล   

ท่านก็บอกว่า You ก็น่าจะทำได้นี่    

   

นี่เป็นที่มาของหลักสูตรที่ทำไมว่า 1-5 ถึงเป็นระดับพื้นฐาน  ระดับ 6 ใช้เฉพาะจักระ 6 คือ ขั้นกลาง   ระดับ 7 คือขั้นสูง  และจบแล้ว   นอกนั้นเป็น Special Siminar ทั้งนั้น  จะเป็นเรื่อง Latent abilily เรื่องทำน้ำ  เป็นเรื่องพิเศษทั้งนั้น   แต่ว่าเขาอยากจะเรียนท่านก็เลยสอนให้   เรียนแล้วก็มาตั้งชื่อเป็นระดับต่างๆ เรื่อยมา จนถึง 18, 19, 20 ที่เราเรียน  จริงๆ มันจบแล้วตามที่บอก   พอท่านอนุญาต  ผมก็ทำต่อ    เวลาที่ผมสอนผมจะรวบ   เพระเหตุผลที่ว่า  แต่ก่อนที่ต้องใช้เวลามากอย่างนั้น  เพราะต้องใช้การแปล   แปลไปแปลมา ถามไปถามมา ย้อนกลับมาฟังที่อาจารย์อธิบายอีก แต่ผมเป็นคนไทยสอนคนไทย มันไม่ต้องมาเสียเวลาแปล  ผมสามารถใช้เวลาให้ย่นย่อลงมาได้  ระดับ 1-5 เป็นพื้นฐาน  ระดับ  6 การใช้จักระ 6  ส่วนระดับ 7 การใช้ปิรามิดคู่ และการประยุกต์    ท่านก็คิดอยู่พักหนึ่ง บอกว่า You  ทำได้ก็ทำสิ  สรุปแล้วอาจารย์อนุญาต   นี่ผมพูดจริงๆ ว่าผมขออนุญาตอาจารย์ ไม่ใช่อยู่ๆ คิดอยากจะทำขึ้นมาเอง ไม่ใช่...  ได้ปรึกษาอาจารย์แล้ว  ด้วยเหตุที่ปรึกษาเรื่องนั้นเรื่องนี้ต่างๆ   ท่านก็มักจะไปพูดกับญาติหรือกับคนทั่วๆ ไปที่ท่านรู้จักว่า  ให้เกษม เป็นตัวหลักในประเทศไทย  เป็น  Main Center in Thailand   ทุกคนเนี่ยอยากจะตั้งก็ตั้งไป   แต่หลักต้องอยู่ที่เกษม   

ก่อนที่ท่านจะเสียชีวิต  ท่านก็พูดเรื่องนี้ย้ำอีก ย้ำมากตอนนั้น   วันที่ท่านเสียไปแล้ว  ทุกคนถึงได้ยอมทุกอย่าง  1) ให้ผมทำอะไรหลายๆ อย่าง  แม้กระทั่งเดินนำหน้า   เห็นไหมผมเดินนำหน้าแล้วถืออย่างนี้   ให้กล่าวอะไรๆ  แม้กระทั่งธงที่คลุมศพอาจารย์ตอนที่ขบวนเป็นกิโล ที่จะไปทำพิธีฝัง ท่านสั่งไว้เลย ธงนี้ต้องให้เกษม ทุกคนนี่พับมาให้ แม้กระทั่ง มิสเตอร์ดาวู๊ด หัวหน้าศูนย์อิหร่าน บอกว่าเขาอยู่ในที่นั้นด้วย ตอนที่อาจารย์พูด และบอกว่า You นี่ต้องเป็นหลัก เป็น Main Center อย่างนี้เลย   ผมก็รับ แต่ตอนนั้นพูดจริงๆ ผมก็รับแบบไม่ได้ดีอกดีใจเพราะธง  กำลังเสียใจอย่างมากที่ท่านจากไป น้ำตาไหลพรากๆ

 

 

.จรูญ คุณอ้นได้ไปด้วยรึเปล่าครับ

พล.. เกษม ไม่ได้ไป แม่ไม่สบายมาก

 

จำได้ว่าวันที่ 12 สิงหาคม ประมาณเกือบ 4 ทุ่ม เมืองไทยนะ   ซึ่งก็ตรงกับที่ออสเตรเลียเวลาประมาณเกือบ 2 ยาม (ต่างกัน 3 ชั่วโมง)  ซึ่งตอนนั้นรู้ว่าอาจารย์เสียแน่ๆ ผมมาได้ยินข่าวประมาณ 3–4 ทุ่ม   พี่บี (คุณเอ็ดโก้ บี พิทักษ์เขตต์)  เป็นคนโทรมาบอก  อาจารย์เสียแล้ว  ผมก็ตกใจ  เสียเพราะอะไร

พี่เษม ต้องไปนะ ต้องไป   ผมก็บอก ไปสิครับ พรุ่งนี้ (ก็คือวันที่ 13) ไปทำวีซ่า  พอได้วีซ่าเสร็จ ซื้อตั๋ววันที่ 14  ไปกันทั้งหมด 3 คน  มีผม  พี่บี และพี่วิสุทธิ์ (พล... วิสุทธิ์ พิทักษ์เขตต์)   คนที่มูลนิธิฯ มีไป 3 คน แค่นี้           ส่วนคนไทยนอกนั้นก็ไม่ทราบว่ามีใครไปบ้าง ไปก็ไปอยู่ที่นั่นตลอด จนกระทั่งเขาให้กล่าวอะไร ผมเขียนภาษาไทย พี่วิสุทธิ์ก็แปลเป็นภาษาอังกฤษ  แล้วผมก็อ่านเป็นภาษาอังกฤษเป็นเรื่องการแสดงความรู้สึกที่มีต่อท่านและรู้สึกอย่างไรกับการที่ต้องสูญเสียท่านไป  จนกระทั่งเสร็จงาน  เขาก็พับธงแล้วเอามาให้ผม  ผมก็ถามว่าเอามาให้ผมทำไม  เขาบอก อาจารย์สั่งไว้ให้ You  ดร.ดาวู๊ด เขาก็อยู่ข้างๆ บอกใช่ เขาก็ได้ยิน อาจารย์สั่งไว้ ผมก็รับมาด้วยความตื้นตันใจ ถือธงไปก็ร้องไห้ไปพูดง่ายๆ จำได้ว่าเป็นหญิงต่างชาติเข้ามากอดผมเพราะผมกำลังเศร้าโศกมาก เข้ามาปลอบใจ    เมื่อเสร็จงานและพอตั้งสติได้ ผมก็ได้กล่าวขอบคุณ  ขอบคุณที่ให้เกียรติอะไรต่อมิอะไร  ให้เขารู้ว่าในฐานะที่ผมเป็นคนไทยและภาษาก็ไม่ได้ดีนัก

แต่คุณจุงเนี่ยเป็นทายาทของอาจารย์ใหญ่  ผมเลยมอบธงให้ไปดำเนินการต่อ  คือพูดง่ายๆ ก็คือ มอบสิทธิที่เขาจะทำอะไรต่อไปก็แล้วแต่เขา

  

หลังจากนั้น 1 เดือน คุณจุงมาที่นี่  เอาธงจำลองแต่ไม่ใช่ผืนนั้น  เอามาให้ผม  บอกว่า อันที่ You ให้มาน่ะ เขาเก็บไว้   อันที่ทำขึ้นมาใหม่ให้ you  ธงเป็นรูปพลังจักรวาล    ตอนนั้นผมก็เดินนำหน้าแล้วก็มีรถเคลื่อนที่ตามยาวเป็นร้อยคัน  ทั้งพี่วิสุทธิ์ พี่บี ก็ร้องไห้กันหมด บรรยากาศเศร้าสลด

แล้วพอกลับมาเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก็คือ  ทุกคนก็บอกว่าอาจารย์ได้สั่งอะไรไว้ โดยภรรยาของท่านคือ ดร.เทเรซ่า ก็บอกว่า เกษม You มาร่วมมือกันเถอะ เราจะตั้งเป็น Foundation เป็น Foundation ของอาจารย์ ทุกคนจะไปสอนที่ไหนก็ได้ แต่เงินต้องเอาเข้า Foundation ทั้งหมด ผมฟังดูแล้ว อ้าว แล้วมันเรื่องอะไร (หัวเราะ) ในใจๆ    พูดที่ศูนย์ของ อ.เพ็ญพร   เกลี้ยกล่อมอยู่ตั้งนาน   ในที่สุดผมก็บอกว่า ผมจะทำของผมในนามมูลนิธิฯ  ส่วนใครจะทำอะไรก็ทำเถอะ  อย่างท่าน ดร.เทเรซ่า จะตั้งอะไรก็ทำไปเถอะ ผมขออยู่เมืองไทยทำที่เมืองไทย   คุณจุงก็มา ตามที่ผมพูดแล้ว เอาธงจำลองมาให้ บอกว่าเรามาตั้งสอนวิชานี้กัน ตั้งศูนย์อยู่ที่อเมริกา  และก็ทำ franchise  คือว่า  คนที่จะสอนจะต้องมาซื้อ franchise จากเรา แล้วเราก็ขายใบประกาศให้เขา  เอาอีกแล้ว...  มันก็ไม่ใช่สังคมสงเคราะห์  ไม่ใช่สาธารณะแล้ว  เป็นเรื่องของเงินอีกแล้ว  ผมก็บอกความคิดของ You ก็ดีนะ You ก็ทำไปก็แล้วกัน ผมขอทำมูลนิธินี้แหละ และจะไม่เลิกจะดำเนินการตามแบบอาจารย์ใหญ่ทุกประการ  แต่ขออนุญาตไม่เข้าร่วม (เพราะทั้ง 2 คน ทำเหมือนธุรกิจ ซึ่งไม่ตรงกับมูลนิธิฯ ที่ผมตั้งขึ้นมา)

 

สรุปต่อจากนั้นไม่นาน   ดร.เทเรซ่า  ส่งรูปหล่ออาจารย์ใหญ่มาให้   หลังจากที่ผมปฏิเสธไปแล้ว   

คุณจุงเอาธงมาให้  ปัจจุบันก็ยังเก็บไว้อยู่   ธงจริงให้เขาเก็บไว้ เราไม่ใช่ทายาท   แต่เราไม่ทิ้งวิชาอาจารย์ ดำเนินการต่อตามระเบียบ ตามขั้นตอน หรือตามวิธีการที่อาจารย์สั่งสอนมาทุกอย่าง

 

.จรูญ พี่อ้น อยากจะเสริมอะไรไหมครับ ในฐานะที่เป็นคนดูแลหลังบ้านของมูลนิธิฯ มาโดยตลอด

พล.. เกษม ทุกอย่างแหละ เขาก็ช่วยได้มาก แต่มีอิทธิพลนะ (หัวเราะ) มีอิทธิพลมากเลย ในการตัดสินใจทำอะไรหลายๆ อย่าง ถ้าสมมติเป็นคนอื่น  ก็ไม่รู้จะได้อย่างนี้ไหม  เขาจะคล้อยตามมาก  คอยเสริมอะไรดีไม่ดีก็จะท้วงติง แนะนำ  อาจารย์ใหญ่ยังเคยพูดตอนสอนเลยว่า ผู้ชายที่เขาเลือกผู้หญิงเนี่ย เขาต้องคิดว่าผู้หญิงคนนั้นดีที่สุด   ดูอย่างเกษมสิ...  เขาเลือกเพราะสวยที่สุด ดีที่สุด (หัวเราะ)

ตอนที่ท่านจะมอบให้คนโน้นคนนี้เปิดจักระได้ 100% นั้น   ประมาณต้นเดือนเมษายน 2548   

พูดจริงๆ ปีนั้นผมจะไม่ไป   ท่านจะสอนเรื่องระดับ 19   ที่ออสเตรเลีย  ผมบอกผมไม่ไปหรอก  แม่อ้นไม่ค่อยสบายด้วย   จำได้ท่านโทรมา 2 ครั้งติดๆ กัน   ครั้งที่ 3  ท่านบอกว่า เกษม You ต้องมานะ

(You must come)  ท่านพูดอย่างนี้   ตอนนั้นอ้นเขาก็ไปไม่ได้ เราก็ต้องไปคนเดียว  ท่านก็โทรมาอีก ตกลงว่าไง ยังไง You ก็ต้องมา  เราก็ไม่รู้ทำไมจะต้องเน้นขนาดนี้  ตกลงก็ทำวีซ่าไป  พอไปถึง กำลังเรียน ก่อนวันสุดท้ายหนึ่งวัน เรื่องการถอดจิตรักษาโรค ก็นั่งเรียนตามปกติ  สักพักคุณจุงก็เข้ามานำกระดาษเล็กๆ ส่งให้ พลิกดูเป็น ชื่อเกษม บอกว่าช่วงพักเบรก  You เข้าไปที่ห้องโน้นนะ  ไปพบอาจารย์ใหญ่ (Master)  ไปทำอะไร ไปทำไม ไม่รู้  แล้วผมก็ไปตามที่เขาบอก

 

พอเข้าไปในห้อง  นับดูก็มีประมาณ 15-25 คน  มีต่างชาติและคนไทยบ้าง ที่ได้รับอันนี้   ท่านก็บอกว่าที่ให้เข้ามาจะมอบให้พวก you เปิดจักระ100% ได้  ผมก็ตกใจเลยสิ จำนวนนี้เป็น The first group เสร็จเรียบร้อย   พอท่านให้พลังและวิธีการต่างๆ  ว่าต้องทำยังไงๆ  แล้วก็ให้พลังที่จะทำให้ไปเปิดจักระ 100% ได้   พอให้เสร็จปั๊บ สิ่งที่ผมเห็น เปรียบเทียบกับดอกไม้ที่กำลังชูช่อ มันค่อยๆ คอตก  ท่านมีอาการอย่างนั้นเลย  ผมเห็นกับตา  และท่านก็ค่อยๆ ก้าวลงข้างล่าง มาแสดงความยินดีกับทุกคน

พอออกมา ผมก็บอกกับ ดร.ดาวู๊ด ว่า   You  จำได้ไหมว่าอาจารย์เคยพูดไว้ว่ายังไงนานมาแล้ว  ท่านบอกว่า  เมื่อไรก็ตามถ้าท่านได้มอบหมายให้คนทำหน้าที่แทนท่านได้   หลังจากนั้น ท่านก็จะไปแล้ว  และตอนนั้นผมก็นึกว่าท่านพูดเล่น ก็เลยถามท่านเล่นๆ  ไปว่า How many years?  ท่านไม่ได้ตอบทันทีนะ ท่านนับนิ้วประเดี๋ยว แล้วบอก  four...  ก็ยังหัวเราะๆ  นึกว่าพูดเล่น  ถามท่านว่า แน่ใจหรือ ท่านก็พยักหน้า  ดร.ดาวู๊ด ก็บอกว่า ใช่ๆ You นี่จำแม่น  เขาบอกเขาลืมไปแล้วเรื่องนี้

ผมถาม   และ You สังเกตไหมเมื่อกี้นี้ที่อาจารย์ส่งพลังให้พวกเราอาจารย์ดูสลดลง สังเกตรึเปล่า?

ดร.ดาวู๊ด ไม่.. ไม่ได้สังเกต  มัวแต่ดีใจที่ได้รับเลือกให้เปิดจักระ 100% ได้ 

เสร็จเรียบร้อยพอหลังจากที่ออกมานอกห้องแล้ว  ข่าวนี้ก็แพร่สะพัดทั่ว คนอื่นๆ ก็บอกเป็นอย่างนี้ได้ยังไง ผมก็เรียนเหมือนกัน เหมือนจะเกิดม็อบขึ้นมาวุ่นวาย ท่านก็บอกว่า ตอนนี้จบแล้ว ท่านไม่ให้แล้ว ส่วนอนาคตเดี๋ยวจะปรึกษาเกษมก่อน   หมายถึงว่า  ให้เกษมจัด แล้ว You ตามมาเรียนที่เมืองไทย  ผมก็ได้จัดที่โรงแรมริชมอนด์ คนก็แห่กันมาเรียน ให้ทุกคนไปเปิดจักระ 100% ได้  มามอบที่นี่  หลังจากนั้นประมาณ 4 เดือน  หลังจากนั้นท่านก็มาที่นี่อีกครั้งหนึ่ง  (ประมาณ 1 ปีกว่าๆ)  ซึ่งห่างจากวันที่มอบให้เปิดจักระ 100% ได้ ประมาณ 2 ปี

 

นี่เล่าให้ฟังว่าท่านเคยพูดว่าเมื่อไรก็ตามถ้าหมดหน้าที่ของท่านแล้วท่านก็จะไปความหมายประมาณอย่างนี้  ท่านเคยพูดแม้กระทั่งว่า You รู้หรือเปล่า I กับ You เนี่ย เป็นพี่น้องกันตั้งแต่ชาติไหนไม่รู้ ได้มาเจอกัน (อายุจริงๆ ของท่านอ่อนกว่าผม 4 ปี)  แต่ท่านบอกว่าเราเคยเป็นพี่น้องกันมาในอดีต แม้กระทั่งมีคนใส่ความผมให้พอได้ยินมาบ้าง เรื่องนั้นเรื่องนี้   ท่านจะบอกว่า อย่ากังวล  I เข้าใจ You ทุกอย่าง

You ทำไป You ทำดีแล้ว  ผมก็ขอบคุณท่าน  ที่ท่านเข้าใจ  ผมก็สบายใจ คนอื่นจะคิดอย่างไรก็ช่าง  คนที่มาบอกว่ามีเรื่องอย่างนี้ๆ  โดยบอกกับ ดร.เทเรซ่า  ซึ่งพวกนั้นเขาอาจจะสนิทกับ ดร.เทเรซ่า  หรืออย่างไรก็แล้วแต่   ผมก็บอกผมทำตามอาจารย์ทุกอย่าง ไม่เคยละเมิด

 

.จรูญ ท่านรู้ไหมว่านี่ท่านพูดไป กี่ชั่วโมง   2 ชั่วโมงแล้วครับ

 

ผมไปอ่านในคอมเม้นท์ที่เขาลงในอะไรๆ  ที่เขาเข้าใจว่าเป็นการหลอกลวง  วิชานี้หลอกลวง

ทำไม่ได้จริง    มีการเก็บเงิน  คือเขาไม่เข้าใจหรอก  ผมก็ไม่ไปโต้ตอบ   แต่คนที่เขาโต้ตอบแทนมี   ผมถือเป็นเรื่องที่ว่าไม่ใส่ใจอะไรมาก   เขาเขียนมาก็อ่านดูว่าเขาคิดเห็นอย่างไร   แต่เรามีความบริสุทธิ์ใจ  เราทำด้วยจิตใจที่มุ่งมั่น  พูดง่ายๆ ว่าไม่หวั่นไหว  ตั้งหน้าตั้งตาทำต่อไป  ผมทำด้วยจิตใจบริสุทธิ์  ไม่มีอะไรแอบแฝง ท่านสอนมายังไง ผมก็ทำตามทุกอย่าง แล้วก็คนที่จะรับช่วงต่อ จะเป็นใครก็แล้วแต่ ก็ให้ดำเนินการตามเจตนารมณ์ที่ตั้งไว้      ผมสร้างที่นี่ขึ้นมาผมจะใส่ชื่อผมก็ได้   แต่ผมไม่ทำเพราะถือว่าไม่ดี  แต่ว่าทุกคนมีสิทธิที่จะมาใช้ได้  คนที่ดำเนินการต่อก็ต้องทำต่อจากที่อาจารย์มอบให้ผมทำ เราเอาไว้ช่วยคน จะด้วยวิธีการที่คนเขาจะเห็นด้วย  หรือไม่เห็นด้วย  ก็สุดแล้วแต่   แต่หลายๆ รายที่ย้อนกลับมาบอกผม  เขาขอบคุณมากๆ ที่ได้ช่วยเขาด้วยวิชานี้   ถ้าให้เล่ากันจริงๆ ก็คงจะข้ามวันข้ามคืน  นี่เป็นเพียงหลักๆ  ที่ทำไมผมเข้ามา    และเข้ามาแล้วทำอะไร  ก็หวังว่าจะกระจ่างนะครับ  ถ้าไปเปิดแล้วพบว่ายังไม่ครบถ้วนก็มาซ้ำได้ หรือมาต่อได้อีก

 

.จรูญ ครับ ขอบคุณมากครับ

 

 

 

ประกาศ

             เพื่อปฏิบัติตามนโยบายของรัฐบาล ให้งดหรือเลื่อนกิจกรรมที่มีการรวมคนจำนวนมากอยู่ในที่เดียวกัน เพื่อเป็นการป้องกันของโรค "โควิด-19"

ดังนั้น มูลนิธิฯ จึงขอประกาศงดการทำบุญเลี้ยงพระ และรับประทานอาหารร่วมกัน ประจำปี 2565

             คณะกรรมการมูลนิธิฯ ต้องขออภัยมา ณ โอกาสนี้

________________________________

                                                                                                 

 

 

ส่งข่าวถึงผู้ที่เรียนวิชาพลังจักรวาลทุกระดับ

          เป็นที่ทราบกันดีแล้วว่า ในห้วงเวลาที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน การระบาดของ โควิด-19 ยังไม่บรรเทา  ขอให้ผู้ฝึกวิชาพลังจักรวาลทุกระดับ ได้ดูแลสุขภาพ หรือป้องกันตนเองและบุคคลใกล้ชิดให้ปลอดภัย โดยใช้วิธีดูแลป้องกันตนเอง ด้วยการปฏิบัติสมาธิสม่ำเสมอ และถ้าสงสัยหรือมีอาการไม่ปกติ ให้ใช้วิธีรักษาตามวิธีที่เรียนไปแล้ว คือ "การรักษาแบบไวรัสไม่ทราบชนิด" ตามวิธีการของแต่ละระดับที่ได้เรียนไป รวมถึงช่วยเหลือผู้ไม่ได้เรียนด้วย

          ด้วยความปรารถนาดี จาก ประธานมูลนิธิเพื่อฝึกพลังจักรวาล 

________________________________

 

          ต่อจากนี้ไป ขอให้ศิษย์พลังจักรวาล ช่วยส่งพลังตามโอกาสหรือเวลาที่ท่านสะดวก แล้วอธิษฐานจิตดังกล่าวข้างต้น

          สำหรับผู้ที่เรียนถึงระดับการใช้ปิรามิดคู่ ให้ใช้ปิรามิดจินตนาการดึงพลังจักรวาลลงมาครอบพื้นที่ ที่ท่านประสงค์

          ส่วนผู้ที่ยังไม่ได้เรียนการใช้ปิรามิดคู่ ให้ทำสมาธิแล้วอธิษฐานจิตส่งพลังตามระดับที่ท่านเรียนมา

          ให้กระทำการดังกล่าว จนกว่าไวรัสโควิด-19 จะหายไป

                    ขอบคุณศิษย์พลังจักรวาลทุกท่าน ที่ร่วมมือช่วยกัน

__________________________

             สารจาก พล.อ. เกษม นภาสวัสดิ์ ประธานมูลนิธิฯ

             วิชาของเรา ใช้กับโรคระบาดนี้ได้อย่างดีครับ คนที่เรียนถ้ายังไม่ป่วยให้ทำสมาธิทุกวัน หรือหมุนจักระบ่อยๆ ทุกวัน เป็นการสร้างภูมิคุ้มกันให้ตัวเอง สำหรับผู้ที่เรียนแล้ว หรือยังไม่เรียน ถ้าป่วยเป็นโรคนี้สามารถ โทร. มาที่มูลนิธิฯ หรือ พล.อ. เกษม ประธานมูลนิธิฯ เพื่อส่งพลังรักษาทางไกลให้ เป็นเวลา 21 วัน

            สำหรับผู้ที่เรียนจบระดับ 6 ขึ้นไป สามารถส่งพลังรักษาทางไกลได้ โดยให้ใช้วิธีรักษาแบบเดียวกับโรคเอดส์

 

โทรศัพท์  02-054-1801, 085-369-1426

                                                                                                  ____________________________